บริหารจัดการอาคาร: วิธีใช้ถังดับเพลิงอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัย วิธีใช้ถังดับเพลิง ถังดับเพลิงมีกี่ประเภท ใช้งานอย่างไรให้ถูกต้อง มาดู 5 วิธีใช้ถังดับเพลิง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อความปลอดภัยของทุกคนกันค่ะ
แม้เราจะเห็นถังดับเพลิงตามสถานที่ต่าง ๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักวิธีการใช้ถังดับเพลิงที่ถูกต้อง ในขณะที่มีอีกหลายคนไม่เคยลองจับ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็ไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้ วันนี้จะพาไปรู้จักกับประเภทและวิธีการใช้ถังดับเพลิงเวลาที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน จะได้ใช้ถังดับเพลิงได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยกันค่ะ
1. รู้จักประเภทของไฟ
ไฟเกิดจากองค์ประกอบ 3 อย่างด้วยกันคือ เชื้อเพลิง (Fuel) ความร้อน (Heat) และออกซิเจน หากต้องการจะดับไฟก็ต้องทำให้องค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งหายไปหรือไม่เพียงพอกับการเผาไหม้ ซึ่งประเภทของการเกิดไฟมี 5 ประเภท ได้แก่
– ไฟประเภท A (Ordinary Combustibles) ไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงธรรมดาที่ติดไฟง่าย มักพบได้ตามได้อาคารและที่พักอาศัยทั่วไป เช่น ผ้า กระดาษ ขยะ พลาสติก เป็นต้น
– ไฟประเภท B (Flammable Liquids) ไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่มีเป็นของเหลวติดไฟและก๊าซติดไฟ เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล สี รวมถึงสารละลาย
– ไฟประเภท C (Electrical Equipment) ไฟที่มักเกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจนทำให้เกิดความร้อนสูง
– ไฟประเภท D (Combustible Metals) ไฟที่เกิดจากโลหะติดไฟง่าย เช่น อะลูมิเนียบ แมกนีเซียม ไทเทนียม โพแทสเซียม ฯลฯ
– ไฟประเภท K (Combustible Cooking) ไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงน้ำมันที่ใช้ในการทำอาหาร เช่น น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ และไขมันสัตว์
2. ทำความเข้าใจประเภทถังดับเพลิง
แม้ถังดับเพลิงจะมีหน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่การใช้งานก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว โดยถังดับเพลิงแบ่งออกตามการใช้งานเป็น 6 ประเภท ดังนี้
– ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (Dry Chemical Extinguishers) ถังดับเพลิงสีแดง ด้านในบรรจุผงเคมีแห้งและก๊าซไนโตรเจน น้ำยาที่ฉีดออกมามีลักษณะเป็นละออง สามารถดับเพลิงได้ทุกชนิด เหมาะสำหรับดับไฟประเภท A B และ C ติดตั้งได้ทั้งในบ้าน อาคาร และโรงงานต่าง ๆ
– ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide (CO2) Extinguishers) ถังดับเพลิงสีแดงเหมือนกับประเภทแรก แตกต่างที่ปลายสายฉีดมีลักษณะเป็นกรวยหรือกระบอก ด้านในบรรจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อฉีดออกมาจะมีลักษณะเป็นไอเย็น ช่วยลดความร้อนและดับไฟได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการติดตั้งในโรงงานขนาดใหญ่ สำหรับดับไฟประเภท B และ C
– ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาเหลวระเหย HCFC-123 (Halotron Extinguishers) ด้านในบรรจุสารเคมีเหลว เมื่อฉีดออกมาจะเป็นไอระเหย เหมาะสำหรับดับไฟประเภท A B C และ K
– ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาโฟม (Foam Extinguishers) ด้านในบบรจุโฟมเข้มข้น เมื่อฉีดออกมาจะเป็นฟองโฟมสีขาว ใช้ดับไฟได้ทั้งประเภท A และ B
– ถังดับเพลิงชนิดน้ำ (Water Extinguishers) ด้านในบรรจุน้ำยาเหลวระเหย ซึ่งมีคุณสมบัติมีความเย็นจัด ช่วยลดความร้อนได้ดี โดยเฉพาะไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่เป็นวัตถุของแข็ง เช่น ไม้ ผ้า พลาสติก หรือกระดาษ เหมาะสำหรับใช้ดับไฟในอาคารและบ้านทั่วไป
– ถังดับเพลิงชนิด BF2000 ด้านในบรรจุน้ำยาประเภทสารเหลวระเหยชนิด BF 2000 ที่ไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับใช้ดับไฟประเภท A, B, C และ D
3. ขั้นตอนใช้ถังดับเพลิง
– ดึงสลักนิรภัยปลดล็อกออกจากวาล์วที่หัวถัง ซึ่งจะมีกระดูกงูล็อกอยู่ หากดึงไม่ออกให้บิดแล้วค่อยดึงสลักออก
– ปลดสายฉีดออกจากตัวถังดับเพลิง โดยจับปลายสายฉีกแล้วดึงออกมาจะง่ายกว่าดึงออกจากโคนสาย
– จับปลายสายให้แน่น และหันหัวฉีดไปยังต้นตอของเพลิง แล้วค่อย ๆ กดคันฉีดให้สารในถังดับเพลิงออกมาดับไฟ
– ยืนห่างประมาณ 2-4 เมตร แล้วฉีดสารเคมีไปยังฐานของต้นเพลิง พร้อมกับส่ายหัวฉีดไป-มาจนเปลวไฟดับสนิท
4. หมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานให้พร้อม
ถึงแม้จะไม่ได้ใช้งานถังดับเพลิงบ่อย ๆ ก็ควรหมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานของถังดับเพลิงเป็นประจำทุกเดือน และตัวถังต้องอยู่ในสภาพดีไม่บุบ บวม หรือขึ้นสนิม ส่วนถังดับเพลิงที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ก็ควรต้องนำมาตรวจสอบระดับความดันและปริมาณสารเคมีให้อยู่ระดับที่พร้อมใช้งานได้อยู่เสมอ
5. ติดตั้งในตำแหน่งที่หยิบใช้สะดวก
ตำแหน่งของถังดับเพลิงก็ควรต้องอยู่ในที่ที่หยิบใช้งานได้สะดวก หรือถ้าเป็นไปได้ควรจัดวางถังดับเพลิงไว้ประจำห้องทุกห้องในบ้าน โดยเฉพาะส่วนที่ดูจะมีความเสี่ยงเพลิงไหม้สูง เช่น ห้องครัว ห้องนอน ห้องซักผ้า เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้ดับเพลิงได้ทันท่วงที